วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

เรื่องฮาๆของอวัยวะในร่างกาย


                                                     

                          เรื่องฮาๆ ของอวัยวะในร่างกาย

ตา >> อวัยวะที่ใช้ในการมอง  มักจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี

หู >> อวัยวะที่ใช้ในการฟัง  ส่วนมากจะมีน้ำหนักเบา เพื่อสะดวกในการพกพา

ปาก >>  อวัยวะที่ใช้ในการพูด   ส่วนมากจะอยู่ไม่ตรงกับใจ

จมูก >> อวัยวะที่ใช้ในการหายใจ  ถ้ายื่นเข้าไปในเรื่องของคนอื่นเขาเรียกว่า ..แส่

บ่า-ไหล่ >> อวัยวะที่อยู่เคียงคู่กันมา ดังที่เรียกว่า “เคียงบ่าเคียงไหล่” มีให้คนคนขี้เหงาได้ซบ ถ้าเป็นจับกังก็ใช้แบกหาม ข้าวสาร ปูน…

หัวใจ >> อวัยวะที่ใช้สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกาย คนที่เจ้าชู้ส่วนใหญ่มักจะเก็บตัวจริงไว้ แล้วถ่ายเอกสารไว้ใช้อย่างพร่ำเพรื่อ

ปอด >> อวัยวะที่ใช้ฟอกโลหิต  แต่ถ้าปอดแหกจะเก็บความกล้าหาญไว้ไม่ได้

นม >> อวัยวะที่สุภาพสตรีอยากให้ยื่นไปข้างหน้ามากกว่าพุง

ศอก >> ข้อต่อระหว่างแขนท่อนบนกับแขนท่อนล่าง ใช้เป็นอาวุธประจำกาย หรือใช้สำหรับรองน้ำดื่มสำหรับหญิงที่มาทีหลัง

ตัว >> เป็นชิ้นส่วนที่ใหญ่ของร่างกายมีไว้ให้ส่วนอื่นได้พักพิง มักจะลืมกันมากในเวลาได้ดิบได้ดี

สะดือ >> เป็นอวัยวะที่ใช้เชื่อมต่อกับแม่ตอนอยู่ในครรภ์ เมื่อใดใช้วัดความสุภาพ…ถ้าอยู่ต่ำกว่าสะดือ ถือว่าทะลึ่ง

ขาอ่อน >> เป็นส่วนที่เชื่อมต่อมาจากสะโพก  มักนิยมใช้ประกวด เพราะมองเห็นง่ายกว่าสมอง

หัวเข่า >> เป็นข้อต่อระหว่างขากับแข้ง เป็นอาวุธประจำกาย ผู้หญิงใช้โจมตีจุดอ่อนของผู้ชาย และบางคนใช้เช็ดน้ำตาเวลาเศร้า โดยเฉพาะคนที่แอบรักผัวชาวบ้านเขา

ขนหน้าแข้ง >> ใช้วัดระดับฐานะทางการเงิน ยิ่งรวยมาก ขนหน้าแข้งจะร่วงน้อย

เท้า >> เป็นอวัยวะที่ใช้ในการยืน  เดิน  หรือเป็นอวัยวะที่ใช้ผลัก หรือที่เรียกว่ากันทั่วไปว่า..ถีบ


การศึกษา


       ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นแผนแม่บทด้านการศึกษาของประเทศ และในมาตรา 4 ของ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ดังนี้

       การศึกษา หมายถึงกระบวนการเรียนรู้ และกระบวนการเรียนรู้นั้นเกิดกับบุคคล และสังคม ถ้าเราถือว่าคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้น การเรียนรู้ ก็คือการเรียนรู้ของคนในสังคมนั่นเอง

       การเรียนรู้ทำได้หลายวิธี มีได้หลายรูปแบบ การเรียนรู้คือการสร้างสรรค์ที่จรรโลงความก้าวหน้า คือครีเอทีฟ เพื่อความก้าวหน้า และการเรียนรู้คือการสร้างองค์ความรู้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเรียนรู้ใหม่ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นั้นต้องการการเรียนรู้ที่เน้นและให้ความสำคัญ กับการสร้างสรรค์มาก หมายความว่า การเรียนรู้นั้น เราสามารถสร้างองค์ความรู้ได้จากทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นจึงเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ ระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักรในครั้งนี้

      ถ้าเรามองว่าการศึกษาคือการสร้างสรรค์ และการสร้างสรรค์เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ จากรายงานจะพบว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร และเศรษฐกิจของโลกขึ้นอยู่กับผลงานสร้างสรรค์ หลายหมื่นล้านปอนด์ นั่นหมายความว่าราคาของความสร้างสรรค์มีมูลค่าสูงมาก ถ้านับรวมทั้งโลกจะสูงถึงล้าน ล้าน ล้านทีเดียว เพราะฉะนั้นโลกปัจจุบันจึงเป็นโลกของการเรียนรู้โดยการสร้างสรรค์ ที่เรามาพูดกันในวันนี้

      เมื่อได้ความหมายของการศึกษา ว่าหมายถึงการศึกษาเชิงสร้างสรรค์แล้ว ในมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้บอกจุดประสงค์ของการเรียนรู้ไว้อย่างชัดเจนว่า กระบวนการเรียนรู้นั้นเน้นการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และการบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา จนถึงภูมิปัญญา และวิทยาศาสตร์

      วันนี้เรามีโอกาสได้ฟังผู้เชี่ยวชาญมานำเสนอให้เราเห็นว่า การศึกษาในเชิงสร้างสรรค์ จะนำไปใช้ในสาขาต่างๆ ได้อย่างไร ทั้งสาขาวิทยาศาสตร์ จะสร้างสรรค์ได้อย่างไร สร้างความรู้ได้อย่างไร สาขาศิลปะ ที่ต้องมีความคิดเชิงสร้างสรรคเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หรือการเขียน ที่ต้องมีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการเรียงร้อยสิ่งต่างๆ ในการนำเสนอ เห็นได้ชัดว่า มาตรา 4 และมาตรา 7 จะช่วยให้การศึกษาไม่แห้งแล้ง แต่จะเป้นการเรียนรู้ที่มีความสุข และสนุกสนาน และท้ายที่สุดสิ่งที่เราสร้างสรรค์อย่างมีความสุขนั้น จะกลายมาเป็นทรัพย์สมบัติ สิทธิสมบัติของเราอย่างชัดเจน

       ดังนั้น การเรียนอย่างสร้างสรรค์ และการทำงานเป็นเรื่องเดียวกัน ในประเทศไทยอาจไม่ค่อยมี แต่ในต่างประเทศ เราพบเสมอๆ ว่าเด็กมีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงาน และทำงานตั้งแต่อายุน้อยๆ หากเราสามารถพัฒนาการเรียนแบบสร้างสรรค์ได้ การเรียนกับการทำงานจะเป็นการบูรณาการในเรื่องเดียวกัน